ความหมายของการประมาณราคาก่อสร้าง

การประมาณราคา

เครดิตวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 การประมาณราคา คือการจัดทำเอกสารประเมินราคาก่อสร้าง ราคาการจัดหาวัสดุทรัพยากรในการผลิตหรือราคาค่าบริการ เป็นการวิเคราะห์ การให้ความเห็น การพยากรณ์ หรือการคาดหมายล่วงหน้า

เนื้อหา

 

 แนวทางการประมาณราคาสำหรับงานราชการ

ราคากลาง คือ ราคามาตรฐานที่ใกล้เคียงความจริงซึ่งสามารถก่อสร้างหรือจัดหาได้จริง และใช้เป็นฐานสำหรับเปรียบเทียบราคาที่ผู้เข้าประกวดราคายื่นเสนอ

  ความแตกต่างของต้นทุน (Cost) และราคา (Price)

ต้นทุน หมายถึง ผลรวมของทรัพยากรที่จะต้องใช้เพื่อการผลิตและนำผลิตภัณฑ์นั้นออกจำหน่ายหรือใช้ประโยชน์

ราคา หมายถึง มูลค่าที่จะนำไปใช้ในลักษณะของการตลาด ราคาอาจจะเท่ากับต้นทุนหรือราคาอาจจะถูกปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการของตลาด ราคาเป็นคุณค่าที่ผู้ทำผลิตภัณฑ์เป็นผู้กำหนด และปรกติราคาจะสูงกว่าต้นทุนการผลิตและการจำหน่าย โดยมีการบวกกำไรที่คาดหวังเข้าไปในราคานั้นแล้ว

 การประมาณต้นทุน

การประมาณ หมายถึง การวิเคราะห์ การให้ความเห็น การพยากรณ์ หรือการคาดหมายล่วงหน้า ดังนั้นการประมาณต้นทุนจึงเป็นการวิเคราะห์ หรือการให้ความเห็นเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในกระบวนการทำงานหรือกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเป็นการทำผลิตภัณฑ์ การจัดทำโครงการ หรือการผลิตงานบริการ

การประมาณ (คำนาม) หมายถึง การประเมินค่าแบบให้ออกมาในรูปของค่าใช้จ่าย หรือให้เป็นจำนวนหรือเป็นมูลค่า

การประมาณ (กริยา) หมายถึงประเมินค่า กำหนดค่า หรือตีราคา

การประมาณ เป็นศิลปะของการประมาณการเกี่ยวกับคุณค่าหรือค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นไปได้ โดยอาศัยข้อมูลที่สามารถจะหาได้ในขณะนั้น ขอบเขตงานประมาณยังรวมถึงการสะสมข้อมูล การจัดทำรายงานเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และยังครอบคลุมถึงการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับชั่วโมงแรงงานและค่าวัตถุ

 องค์ประกอบของราคา

  ข้อควรพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการประมาณราคา

  เตรียมการ

  1. ศึกษา แบบ ข้อกำหนด และเอกสารประกวดราคา
  2. จัดแบ่งหมวดหมู่ของงาน
  3. จัดทำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา

  การดำเนินงาน

  1. ถอดแบบ
  2. จัดทำต้นทุนต่อหน่วย
  3. พิจารณาค่า Factor “F” ที่เหมาะสม สรุปเป็นราคาโครงการ
  4. ตรวจทาน

  การเก็บข้อมูล

  1. รวบรวมราคางานที่ได้จัดทำไว้ แยกเป็นหมวดหมู่
  2. มีระบบการจัดเก็บที่ดี
  3. ติดตามผลการประกวดราคา เปรียบเทียบราคากับราคากลาง
  4. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  แบบฟอร์มที่ใช้ในการประมาณราคา (ในไทย)

จากเอกสารของกรมโยธาธิการและผังเมือง มีดังนี้[1]

  • แบบฟอร์ม ปร. 1 ใช้ประมาณการถอดแบบหาปริมาณงานและวัสดุทั่วไป
  • แบบฟอร์ม ปร. 2 ใช้ประมาณการถอดแบบงานคอนกรีต ไม้แบบ ไม้ค้ำยันและเหล็กเสริม
  • แบบฟอร์ม ปร. 3 ใช้ประมาณการถอดแบบงานไม้
  • แบบฟอร์ม ปร. 4 ใช้สำหรับรวมปริมาณงานแต่ละประเภท
  • แบบฟอร์ม ปร. 5 ใช้สรุปราคาค่าก่อสร้าง
  • แบบฟอร์ม ปร. 6 ใช้สรุปราคาค่าก่อสร้าง กรณีมีการก่อสร้างหลายงานหรือใช้เปรียบเทียบราคา

  Back up Sheets

Back up Sheets คือ กระดาษคำนวณแสดงที่มา ของปริมาณวัสดุ หรือต้นทุนต่อหน่วยของงานแต่ละประเภท Back up Sheets ที่ดี ควรมีความละเอียด ชัดเจน และแสดงแหล่งที่มาของข้อมูล

  Factor F

Factor F คือ ค่าตัวเลขซึ่งกำหนดขึ้นตามมติคณะกรรมการควบคุมราคากลาง (ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2546) ใช้คูณราคาต่อหน่วยของต้นทุน (Unit Cost) ออกมาเป็น ราคาค่างานของโครงการ Factor F ประกอบด้วย ค่าอำนวยการ ดอกเบี้ย กำไร และภาษี[2] แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

  1. งานทาง[3]
  2. งานสะพานและท่อเหลี่ยม[4]
  3. งานอาคาร[5]

  ค่า K

ค่า “K” หรือ ESCALATION FACTOR คือ ตัวเลขดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน ณ ระยะเวลาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเปิดซองประกวดราคาได้ เปรียบเทียบกับระยะเวลาที่ส่งงานในแต่ละงวด โดยมีเงื่อนไขสำคัญ[6] ดังนี้

  • จะใช้ค่า K ได้เฉพาะในกรณีที่ผู้รับเหมารับงานจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
  • ในการทำสัญญาว่าจ้าง คู่สัญญาจะต้องระบุในสัญญาให้ชัดเจนว่า เป็นสัญญาแบบปรับราคาได้ในการประกวดราคาจ้างเหมาก่อสร้าง

การนำ 'ค่า K' มาใช้ เริ่มจากในช่วงปี 2516 - 2517 เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยน้ำมันและวัสดุก่อสร้างสำคัญ คือ เหล็กสำเร็จรูป ต่างๆ ขาดแคลนและราคาสูงขึ้นมาก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจก่อสร้างโดยตรงและรุนแรง ผู้รับเหมาต่างได้รับความเดือดร้อน บางรายหยุดดำเนินการ บางรายละทิ้งงาน เพราะไม่สามารถรับภาระขาดทุนได้ ขณะเดียวกัน ผู้จ้างเหมาก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้นำ 'ค่า K' มาใช้ เพื่อช่วยเหลือผู้รับเหมาให้ได้รับการชดเชยค่าเสียหาย ทั้งนี้มีคณะอนุกรรมการเป็นผู้กำหนด หลักเกณฑ์ เงื่อนไข สูตร ประเภท และลักษณะงานที่เข้าข่ายสามารถขอรับเงินชดเชยจากรัฐบาลได้ จนถึงปี 2524 รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกการใช้ 'ค่า K' เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้นำ 'ค่า K' มาใช้อีกครั้ง เนื่องจากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราสูง ก่อให้เกิดการลงทุนอย่างมากในธุรกิจหลายสาขา โดยเฉพาะธุรกิจการก่อสร้าง เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ขยายตัว เป็นเหตุให้วัสดุก่อสร้างสำคัญ คือ เหล็กเส้นขาดแคลนและราคาสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจึงให้ความช่วยเหลือโดยมีมติดังกล่าว ให้ใช้ 'ค่า K' มาจนถึงปัจจุบัน

องค์ประกอบของค่า K

ค่า K ประกอบด้วยตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้

  • M = ดัชนีราคาสินค้าวัสดุก่อสร้าง (ไม่รวมเหล็กและซีเมนต์)
  • S = ดัชนีราคาเหล็ก
  • C = ดัชนีราคาซีเมนต์
  • G = ดัชนีราคาเหล็กแผ่นเรียบ
  • F = ดัชนีราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
  • A = ดัชนีราคาแอสฟัลท์
  • E = ดัชนีราคาเครื่องจักรกลและบริภัณฑ์
  • GIP = ดัชนีราคาท่อเหล็กอาบสังกะสี
  • AC = ดัชนีราคาท่อซีเมนต์ใยหิน
  • PVC = ดัชนีราคาท่อ PVC
  • PE = ดัชนีราคาท่อ HYDENSITY POLYETHYLENE
  • W = ดัชนีราคาสายไฟฟ้า
  • I = ดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศ

  ความละเอียดถูกต้องในการประมาณราคา

ประเภทและความละเอียดถูกต้องในการประมาณราคา[7]

  • Estimates for Conceptual Planning
  • Estimates for Feasibility
  • Estimates during Engineering and design
  • Estimates for Construction
  • Estimates for Change Orders

  รายการงานตรวจสอบ (Checklist)

  • ได้รับแบบครบถ้วนหรือไม่
  • แบบที่ได้รับเป็นฉบับล่าสุดหรือไม่
  • แบบที่ใช้ในการถอดแบบเป็นฉบับล่าสุดหรือไม่
  • ข้อมูลระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นต้องรื้อย้าย ก่อสร้างใหม่มีครบถ้วนหรือไม่
  • ได้คำนึงถึงวิธีการก่อสร้างว่าจำเป็นต้องมีงานชั่วคราว เช่น Sheet Pile, Coffer Dam หรือการสูบน้ำระหว่างการก่อสร้างหรือไม่
  • ได้คำนวณปริมาณงานของงานชั่วคราวเพื่อใช้ในการประมาณราคาหรือไม่
  • เข้าใจในวิธีการก่อสร้างหรือไม่
  • ได้สอบทานตัวเลขและการคำนวณแล้วหรือไม่
  • หน่วยที่ใช้ถูกต้องหรือไม่
  • ปริมาณงานครบถ้วนหรือไม่
  • Back up Sheet ชัดเจนและสะดวกในการตรวจสอบหรือไม่
  • Back up Sheet ครบถ้วนหรือไม่
  • ลายมือ ตัวเลข ชัดเจนหรือไม่
  • ตรวจสอบ พิสูจน์อักษรแล้วหรือไม่
  • กรณีใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วยในการคำนวณ มีรายละเอียดสูตรการคำนวณ และตัวอย่างหรือไม่
  • ระบบการจัดเก็บเป็นอย่างไร ฟลอปปีดิสก์ที่ใช้ จะต้องมีระบบการจัดเก็บ
  • ได้ตรวจสอบดูสถานที่ก่อสร้างหรือไม่
  • ราคาวัสดุ Update หรือไม่
  • หน่วยในการจ่ายเงินสอดคล้องกับข้อกำหนดทางเทคนิค (Specifications) และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา (Bill of Quantities/B.O.Q.) หรือไม่
  • กรณีที่บัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา (Bill of Quantities/B.O.Q.) ระบุให้ใส่ค่า K (Escalation Factor, สูตรการปรับราคา) ถูกต้องและสอดคล้องกับเอกสารประกวดราคาหรือไม่
  • Factor F (ค่าดำเนินการ กำไร และภาษี) Update และถูกต้องตามระเบียบของทางราชการหรือไม่
  • ระบบการจัดเก็บเอกสาร (Filing) การผลิต (Reproduction) และการแจกจ่าย (Distribution) ปลอดภัยและเน้นว่าเป็นเอกสาร “ลับ” หรือไม่
  • ราคาวัสดุที่ใช้เป็นราคาที่รวมค่าขนส่งถึงสถานที่ก่อสร้างแล้วหรือไม่
  • งานดินขุดรวมค่าขนส่งดินไปทิ้งแล้วหรือไม่
  • แบบที่ใช้ในการถอดแบบมีข้อมูลครบถ้วนหรือไม่ เช่น กำลังของคอนกรีต ความสามารถในการรับน้ำหนักบรรทุกของเสาเข็ม ความยาวของเสาเข็มและอื่น ๆ
  • มีรายการวัสดุครบถ้วนหรือไม่
  • งานที่มีความต่อเนื่องและเกี่ยวพันกัน มีการแบ่งแยกงานจากกันชัดเจนหรือไม่และต้องสามารถตรวจสอบได้ง่าย
  • วัสดุที่ระบุให้ใช้ตามแบบ มีขายในท้องตลาดหรือไม่
  • ใบเสนอราคามีครบถ้วนหรือไม่

  อ้างอิง

  แหล่งข้อมูลอื่น

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


krumod

สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
การก่อสร้าง